“การลงทุน” ช่วยทั้ง “คนไทย” และ “ช่วยชาติ”

“การลงทุน” ช่วยทั้ง “คนไทย” และ “ช่วยชาติ”

เมื่อการลงทุนกลายเป็นหนึ่งในหนทางสำคัญของการเก็บออมเงินเพื่อใช้ในอนาคต ทั้งอนาคตในวัยเกษียณ หรืออนาคตสำหรับผู้ที่อยากมีอิสระทางการเงิน ดังนั้น “การลงทุน” จึงเป็นทางเลือกที่คนให้ความสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ “อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก” ไม่สามารถฝากความหวังไว้ได้อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม เพราะการลงทุนมีความเสี่ยง ดังนั้น จึงต้องอาศัยความรู้และทักษะในการบริหารจัดการในระดับหนึ่ง เพื่อที่จะไม่ลงทุนแบบสูญเปล่า การหาที่ปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคลไว้ใช้งาน เป็น ทางเลือกที่ตอบโจทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อที่ปรึกษาการลงทุนส่วนบุคคลนี้มาพร้อมกับนวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อดูแลพอร์ตการลงทุนแบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง โดยไม่จำกัดขั้นต่ำของการลงทุน ชลเดช เขมะรัตนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม และผู้ร่วมก่อตั้งโรโบเวลธ์ กรุ๊ป กล่าวกับ The Story Thailand ว่า ปัจจุบัน ตลาดการลงทุนของไทยเมื่อเทียบกับสัดส่วนจำนวนประชากรยังถือได้ว่าอยู่ในระดับที่น้อยมาก โดยวัดจากจำนวนบัญชีที่ชื้อขายกองทุนหรือหุ้นในขณะนี้มีไม่เกิน 5% ของประชากร มิหนำซ้ำ บัญชีที่ลงทุนอยู่ก็ไม่แน่ว่าจะประสบความสำเร็จตามความต้องการของเจ้าของบัญชีมากน้อยแค่ไหน ดังนั้น ไทยจำเป็นต้องเพิ่มจำนวนนักลงทุนให้ได้มากกว่านี้อีกมาก “การเพิ่มจำนวนนักลงทุนให้มากขึ้น สิ่งที่ควรจะทำแรกสุด คือ การทำให้การเปิดบัญชีเป็นเรื่องง่ายที่สุด สะดวกที่สุด” ภายใต้ระเบียบของหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานกำกับดูแลหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ก.ล.ต.) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปง.) สำหรับสัดส่วนจำนวนนักลงทุนที่เหมาะสม อย่างน้อยควรจะมีราว 10% ของจำนวนประชากรในประเทศนั้น ๆ […]

เมื่อการลงทุนกลายเป็นหนึ่งในหนทางสำคัญของการเก็บออมเงินเพื่อใช้ในอนาคต ทั้งอนาคตในวัยเกษียณ หรืออนาคตสำหรับผู้ที่อยากมีอิสระทางการเงิน ดังนั้น “การลงทุน” จึงเป็นทางเลือกที่คนให้ความสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ “อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก” ไม่สามารถฝากความหวังไว้ได้อีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม เพราะการลงทุนมีความเสี่ยง ดังนั้น จึงต้องอาศัยความรู้และทักษะในการบริหารจัดการในระดับหนึ่ง เพื่อที่จะไม่ลงทุนแบบสูญเปล่า การหาที่ปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคลไว้ใช้งาน เป็น ทางเลือกที่ตอบโจทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อที่ปรึกษาการลงทุนส่วนบุคคลนี้มาพร้อมกับนวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อดูแลพอร์ตการลงทุนแบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง โดยไม่จำกัดขั้นต่ำของการลงทุน

ชลเดช เขมะรัตนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม และผู้ร่วมก่อตั้งโรโบเวลธ์ กรุ๊ป กล่าวกับ The Story Thailand ว่า ปัจจุบัน ตลาดการลงทุนของไทยเมื่อเทียบกับสัดส่วนจำนวนประชากรยังถือได้ว่าอยู่ในระดับที่น้อยมาก โดยวัดจากจำนวนบัญชีที่ชื้อขายกองทุนหรือหุ้นในขณะนี้มีไม่เกิน 5% ของประชากร มิหนำซ้ำ บัญชีที่ลงทุนอยู่ก็ไม่แน่ว่าจะประสบความสำเร็จตามความต้องการของเจ้าของบัญชีมากน้อยแค่ไหน ดังนั้น ไทยจำเป็นต้องเพิ่มจำนวนนักลงทุนให้ได้มากกว่านี้อีกมาก

“การเพิ่มจำนวนนักลงทุนให้มากขึ้น สิ่งที่ควรจะทำแรกสุด คือ การทำให้การเปิดบัญชีเป็นเรื่องง่ายที่สุด สะดวกที่สุด”

ภายใต้ระเบียบของหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานกำกับดูแลหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ก.ล.ต.) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปง.)

สำหรับสัดส่วนจำนวนนักลงทุนที่เหมาะสม อย่างน้อยควรจะมีราว 10% ของจำนวนประชากรในประเทศนั้น ๆ สำหรับไทยก็อยู่ที่ประมาณ 6 ล้านคน ดังนั้น หมายความว่า การลงทุนของไทยควรที่จะขยายตัวเติบโตมากกว่าปัจจุบันอีกสัก 2-3 เท่า โดยความคาดหวังที่ว่านี้จะสำเร็จหรือไม่ ส่วนหนึ่งก็ต้องอาศัยแรงผลักดันสนับสนุนจากรัฐบาลด้วย

แน่นอนว่าประโยชน์โดยตรงของการลงทุนย่อมส่งตรงถึงผู้ลงทุนเอง แต่ขณะเดียวกัน การลงทุนยังมีส่วนในการช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาวด้วย 

ทั้งนี้ สำหรับตัวผู้ลงทุนเอง ชลเดช ชี้ว่า การลงทุนจำเป็นอย่างมากสำหรับอนาคตนับต่อจากนี้ เพราะคนมีแนวโน้มอายุยืนยาวมากขึ้น ดังนั้น เงินที่เก็บออมไว้ในยุคอัตราดอกเบี้ยเงินฝากต่ำจึงอาจจะไม่พอถ้าไม่มีการลงทุนที่ทำให้เงินงอกเงย

ส่วนที่ว่าช่วยเศรษฐกิจชาตินั้น หมายความว่า หากตลาดทุนของไทยใหญ่พอ จะทำให้มีสินค้าในตลาดทุนที่หลากหลายขึ้น และลึกขึ้น ช่วยให้อุตสาหกรรมการลงทุนขยับไปเรื่อย ๆ ได้

“ถ้าตลาดทุนสามารถทำงานได้ดี มีต้นทุนการระดมทุนที่ต่ำ ประเทศก็จะสามารถมีการเติบโตที่ยั่งยืนได้ ยกตัวอย่างง่าย ๆ สมมติว่ากลไกตลาดทุนทำงานได้ดี มีการจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ทั่วถึงและเป็นธรรม เวลาบริษัทใหม่ ๆ อยากระดมทุน ก็เข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้ แล้วมีทั้งนักลงทุนซื้อหุ้นโดยตรง มีกองทุนรวมที่ใหญ่ มีสถาบันที่ใหญ่ บริษัทที่ทำหน้าที่ได้ดี ก็จะได้รับเงินสนับสนุนไปพัฒนาประเทศ เพราะฉะนั้น ตลาดทุนก็จะเป็นเหมือนตัวกลางที่คอยทำให้การระดมทุนและการพัฒนาอะไรก็ตามที่ใช้เงินทุนระยะยาวมันดีขึ้น”

ทิศทางในอนาคต

หุ้น กองทุนรวม และตราสารหนี้ ถือเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินด้านการลงทุนที่คนไทยคุ้นเคยเป็นอย่างดีในระดับหนึ่งแล้ว แต่กระแสทิศทางในอนาคตต่อไป นักลงทุนไทยมีแนวโน้มหันไปเล่นผลิตภัณฑ์เหล่านี้ในตลาดต่างประเทศมากขึ้น และมีแววว่าจะซื้อกองต่างประเทศโดยตรงโดยไม่ผ่านบลจ.

ซึ่งกองต่างประเทศที่นักลงทุนไทยจะเข้าไป มีทั้ง Mutual Fund และ ETF โดย ETF จะเน้นกองที่ค่าธรรมเนียมต่ำ และเป็น Passive Fund ขณะที่หุ้นสามัญต่างประเทศ กระแสมีเยอะขึ้นเช่นกัน

ด้านตราสารทางการเงินในไทยจะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไป ตามบริการเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เข้ามา อย่าง Block Trade บน Single Stock Futures (SSF) ส่วน ETF ก็จะเป็น ETF ที่เชื่อมโยงกับกระดานหุ้นในต่างประเทศ

สินทรัพย์ดิจิทัล

ขณะที่สินทรัพย์ดิจิทัล ชลเดช มองว่า เป็นคนละตลาดกับตลาดหุ้นและตลาดกองทุนรวม ถึงแม้ว่าราคาบิทคอยน์ในตอนหลังจะขึ้นสูงมาก แต่ก็ยังอยู่ในฐานะตลาดเพื่อการเก็งกำไรอยู่ และจำนวนรวมถึงประเภทเหรียญที่สามารถที่จะลงทุนได้หรือเก็งกำไรในระยะปานกลางยังคงมีจำกัด คือ มีแค่ Bitcoin และ Ethereum ที่พอจะลงทุนได้ ซึ่งลักษณะของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลที่ผันผวนแบบนี้ นักลงทุนที่เข้าไปจึงเป็นคนละตลาดกัน คนที่เข้าไปทำการเทรดในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลจะเป็นพวกที่เทรดใน FX ตอนกลางคืนมากกว่า

“(สองตลาด) จะมารวมกันได้ ต่อเมื่อมี STO (SECURITIES TOKEN OFFERING) ซึ่งให้ฝั่งตลาดทุนใช้กลไกบล็อกเชนเพื่อ DIGITIZE ตราสารทางการเงิน”

อย่างไรก็ตาม แม้จะเพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน แต่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นตลาดที่มีโอกาสและมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี เพียงแต่ Bitcoin หรือ Ethereum ยังไม่ถูกกับจริตของนักลงทุนกลุ่มใหญ่เพราะมีความเสี่ยงมากเกินไป ดังนั้น แนวทางในปัจจุบัน สินทรัพย์ดิจิทัลจึงแยกกันโตออกจากตลาดทุน

ส่วนคำถามที่ว่าจะสามารถอยู่ร่วมกับตลาดทุนได้เมื่อไร ก็ขึ้นอยู่กับการที่สามารถทำ STO ได้จริง โดยที่เทรดในตลาดหลักทรัพย์ได้จริง คนที่ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลก็อาจจะเริ่มพิจารณามากขึ้น ทว่าด้วยอัตราผลตอบแทนและส่วนต่างที่ต่างกันมากเกินไประหว่างตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลและตลาดหุ้น

ดังนั้น นักลงทุนทั้งสองตลาดจึงไม่น่าจะมารวมกันได้ และการรวมกันของสองตลาดที่จะได้เห็นจึงน่าจะเกิดขึ้นในส่วนของเทคโนโลยีมากกว่า โรโบเวลธ์เองมีแผนที่จะทำอีกแอปพลิเคชันหนึ่งเป็น Robo Advisor สำหรับสินทรัพย์ดิจิทัลเช่นกัน

Financial Literacy

ในท้ายที่สุด จะตัดสินใจลงทุนในอะไรก็ตาม ความรู้ความเข้าใจที่ถ่องแท้และมีช่องทางให้เข้าถึงข้อมูลให้ศึกษาได้อย่างจริงจัง ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการลงทุน โดยต้องมองว่าการลงทุน คือ การบริหารจัดการการเงินส่วนบุคคลรูปแบบหนึ่ง เป็นทักษะที่ต้องมีในฐานะส่วนหนึ่งของการวางแผนชีวิต 

อย่างไรก็ตาม ชลเดช กล่าวว่า เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ต้องยอมรับว่าคนไทยส่วนใหญ่ยังมีความรู้ความเข้าใจและความรู้ทางการเงินหรือ Financial Literacy ในระดับต่ำมาก ยังต้องพัฒนาและปรับปรุงอีกมาก โดยแนวทางการแก้ปัญหาต้องเน้นไปที่ระบบ โดยเฉพาะระบบการศึกษาที่จำเป็นต้องใส่วิชาเรื่องการบริหารจัดการการเงินส่วนบุคคล การเงินเบื้องต้น การลงทุนเบื้องต้น ให้เข้าไปอยู่ในหลักสูตรวิชาที่นักเรียนนักศึกษาต้องเรียน ขณะที่เด็กนักเรียนในระดับที่อายุน้อยลงมาต้องได้เรียนได้เข้าใจพื้นฐานของการออม หนี้และการใช้เงินอย่างรู้คุณค่า

โรโบเวลธ์มีโครงการ “พี่ได้ออมน้องได้เรียน” ที่หักส่วนหนึ่งไปทำบุญให้กับทางโรงเรียนผ่านมูลนิธิยุวพัฒน์ พร้อมกับจัดโรดโชว์กับทางโรงเรียนสอนการเงินการออมเบื้องต้น มีแผนการใช้เงิน และทำบัญชีรายรับรายจ่ายเป็น เพราะการออมคือพื้นฐานการลงทุน และวินัยทางการออมเงินที่ดีก็คือหนึ่งในช่องทางสำคัญที่จะนำเงินไปลงทุนต่อยอดได้

“ถ้าคนไทยมีการปลูกฝังเรื่อง Financial Literacy ตั้งแต่เด็กเป็นขั้นเป็นตอนต่อไป ตอนที่เขาเริ่มทำงาน เขาก็จะรู้ว่าวินัยทางการออมการลงทุนคืออะไร พอตอนช่วงหลังเกษียณ แน่นอนว่า เขาสามารถดูแลตนเองได้ หรือดูแลครอบครัวได้ จะไม่เป็นภาระของภาครัฐ เพราะภาระที่ภาครัฐต้องมาดูแลผู้สูงวัยมันจะมากขึ้นเรื่อย ๆ”

ต้องเริ่มจาก Financial Literacy หากคนส่วนใหญ่ของประเทศมี Financial Literacy เข้าใจการลงทุนมากขึ้น จะมีผู้ให้บริการอย่างโรโบเวลธ์เกิดขึ้นมากขึ้น บริการจะดีขึ้น ทั่วถึงขึ้น รวมทั้งอาจจะมีการขยายไปในตลาดต่างประเทศ ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการเก่งขึ้น และช่วยให้ตลาดทุนทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น บริษัทซึ่งระดมทุนผ่านตลาดทุนเอาไปขยายธุรกิจ เอาไปพัฒนาประเทศก็มีความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศมากขึ้น ดังนั้น โดยรวมก็จะช่วยให้การพัฒนาทั้งหมดมันยั่งยืนมากขึ้น

แผนธุรกิจปี 64

โรโบเวลธ์ กรุ๊ป ว่า เป้าหมายแรกสุด คือ การทำให้เรื่องการลงทุนเป็นเรื่องที่ง่าย คือ เข้าใจง่ายและเข้าถึงได้ง่าย อยู่ที่ไหนก็ลงทุนได้ มีเงินเท่าไรก็ลงทุนได้ และต้องการลงทุนเพื่อผลตอบแทนแบบไหนก็ทำได้ โดยโรโบเวลธ์จะคอยดูแลเรื่องการลงทุนให้กับลูกค้าในแต่ละกลุ่มผ่าน Mobile Application 3 แอป หลัก คือ Odini, FinVest และ TrueMoney Wallet

โดย Odini เป็นการตอบโจทย์กลุ่มมนุษย์เงินเดือนที่อยากลงทุนแต่ไม่มีความรู้ ไม่มีเวลา และกังวลกับความเสี่ยง ซึ่ง Odini จะตัดปัญหาด้วยการเลือกกองทุนที่เหมาะสมสำหรับคน ๆ นั้นไว้ให้ การคำนวนมาแล้ว และเริ่มต้นลงทุนที่ 1,000 บาท

แอปพลิเคชันที่สองต่อยอดมาจาก Odini คือ แอป FinVest โดยจับมือกับธนาคารกสิกรกับ ลู อินเตอร์เนชันแนล (Lu International) ภายใต้ผิงอันกรุ๊ป (Ping An Group) บริษัทยักษ์ใหญ่จีน ซึ่งโรโบเวลธ์จะคัดกรองตัวเลือกในการลงทุนมาแล้วระดับหนึ่ง แล้วให้ลูกค้าพิจารณาเพื่อตัดสินใจว่าจะลงทุนในผลิตภัณฑ์ตัวไหน เริ่มต้นเท่าไรก็ได้ แต่ต้องท็อปอัพครั้งละ 1,000 บาท

ส่วนแอปพลิเคชันที่สาม เป็นความร่วมมือกับทรู ที่ทางโรโบเวล์ธเข้าไปพัฒนาซอฟท์แวร์แอปพลิเคชัน ผ่านบลน. Ascend Wealth ในการซื้อขายกองทุนรวมผ่านแอป TrueMoney Wallet 

นอกจากแอปพลิเคชันทั้งสามตัวซึ่งดำเนินการภายใต้บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน (บลน.) แล้ว โรโบเวลธ์กรุ๊ป ยังมี บริษัทที่ปรึกษาทางการลงทุน (บลป.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ปรึกษา มีนักวิเคราะห์ มีที่ปรึกษา คอยดูแลลูกค้าชนิดประชิดตัว นำข้อมูลต่าง ๆ ไปบอกเล่านำเสนอและอัปเดตข่าวสารข้อมูลด้านการลงทุนทุกเดือน ลูกค้าในกลุ่มบลป.จึงเป็นลูกค้าที่มีเงินลงทุนมากขึ้น คือ ตั้งแต่ 10 ล้านขึ้นไป โดยบริการยังครอบคลุมถึงการขายบทวิเคราะห์ตลาดการเงินให้กับบริษัทอื่น ๆ ที่สนใจได้อีกทางหนึ่งด้วย

ขณะที่ในส่วนสุดท้ายของโรโบเวลธ์กรุ๊ป คือ ซอฟต์แวร์ เฮ้าส์ ที่เขียนระบบบริหารจัดการการเงินต่าง ๆ ให้กับลูกค้าที่สนใจ เป็น ​Software Developer ให้กับบลจ.ใหญ่ ๆ ทั้งหลาย

“การจับมือผนึกกำลังร่วมกับพันธมิตรในการช่วยกันขยายฐานลูกค้า ซึ่งเป็นแนวทางที่โรโบเวลธ์ทำมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการจับมือกับธนาคารกสิกรไทย หรือ บริษัททรู คอร์เปอร์เรชั่น ทำให้โรโบเวลธ์กรุ๊ปสามารถโฟกัสในส่วนที่ตนเองถนัด คือ การวิเคราะห์ประมวลผลและพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจัดการพอร์ตการลงทุน ในขณะที่พันธมิตรจะคอยดูในเรื่องของการตลาดและการบริการลูกค้า”

สำหรับลูกค้าที่ต้องการเลือกกองทุนเองอย่าง FinVest ทางโรโบเวลธ์จะคัดกรองกองทุนการลงทุนในต่างประเทศ โดยจัดกลุ่มภายใต้ธีมต่าง ๆ เช่น Digital Health, Advanced Economy หรือ Artificial Intelligence ซึ่งอีกไม่นาน ทางโรโบเวลธ์กรุ๊ป มีแผนที่จะร่วมมือกับธนาคารกสิกรเปิดให้นักลงทุนไทยไปลงทุนในตลาดต่างประเทศได้โดยตรง

ที่ผ่านมา สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้นักลงทุนไทยส่วนใหญ่โดยเฉพาะรายย่อยตัดสินใจชะลอการลงทุน​อย่างไรก็ตาม กระแสการลงทุนเริ่มมีให้เห็นมากขึ้นอีกครั้งในช่วงปลายปี อีกทั้งยังมีหน้าใหม่ที่เข้ามาเพิ่มมากขึ้น เพราะลูกค้าส่วนใหญ่เล็งเห็นความจำเป็นของการลงทุนในช่วงเศรษฐกิจปัจจุบัน

โรโบเวลธ์ได้มีการดำเนินการปรับฐาน โดยเน้นนำงบประมาณไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทเพื่อตอบโจทย์กลุ่ม Mass Affluent ที่มีเงินลงทุนมากในระดับหนึ่ง ดังนั้น ต่อให้มีสัดส่วนจำนวนลูกค้าที่น้อยลงกว่าเดิม แต่ก็ชดเชยด้วยจำนวนเงินต่อการลงทุนที่สูงขึ้นได้

ขณะที่ภาพรวมการเติบโตของโรโบเวลธ์กรุ๊ปในปีนี้ ชลเดช เปิดเผยว่า เนื่องจากมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ดังนั้น ในแง่ของรายได้จึงมาจากฝั่ง High Networth ค่อนข้างมาก ในแง่รายได้รวมของบริษัท น่าจะโตเกือบ ๆ เท่าหนึ่งของรายได้รวมของทั้งกรุ๊ป

ในส่วนของการขยายตลาดปีนี้ โรโบเวลธ์จะดำเนินการไปใน 2 แนวทางหลัก คือ หนึ่งมุ่งโปรโมทประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการของกลุ่มให้มากขึ้นโดยเฉพาะ FinVest ที่เพิ่งเริ่มทำควบคู่ไปกับการโปรโมทแบรนด์โรโบเวลธ์กรุ๊ป สอง คือ การหาพันธมิตรมาร่วมมือกัน โดยจะไม่หาพาร์ทเนอร์ที่จะมาแย่งลูกค้าหรือเบียดตลาดกับพาร์ทเนอร์เดิมที่มีอยู่ของโรโบเวลธ์

ขณะที่แผนการดำเนินการในปีนี้ ชลเดช กล่าวว่า โรโบเวลธ์วางกลยุทธ์ไว้ที่การมองหา Strategic Partners ซึ่งอาจเป็นบริษัท VC (Ventures Capital) มาร่วมลงทุนเพื่อขยายฐานลูกค้าของโรโบเวลธ์ทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดรอบ ๆ ไทย ได้แก่ อินโดนีเซีย และเวียดนาม เพราะเป็นประเทศที่มีประชากรมาก อายุน้อย และมีการเปิดรับใช้งานเทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน

Source: The Story Thailand